บล.พาย:

FINANCE: การเติบโตของกำไรเร่งตัวขึ้นในปี 2024 (NEUTRAL)

TOP PICK TIDLOR

เราคงมุมมองบวกต่อผลกำไรสุทธิรวมของกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง (MTC SAWD TIDLOR) ที่คาดว่าจะขยายตัวสูงขึ้นที่ 18.3% ในปี 2024 จากที่เติบโตเพียง 3.7% ในปี 2023 หนุนจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นล้อกับการขยายสินเชื่อ (2) รายได้ค่าคอมมิชชั่นขยายตัวจากการเป็นนายหน้าธุรกิจประกัน และ (3) Credit cost ลดลงจากหนี้เสียที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระดับชะลอตัว โดยทั้ง MTC SAWAD TIDLOR จะมีความสามรถการทำกำไรที่ดีขึ้นในปี 2024 อย่างไรก็ดี บริษัทจะยังเผชิญกับความท้าทายหลักจาก (1) หนี้เสียสูงขึ้น (2) NIM ปรับลดลงต่อเนื่อง (3) ภาวะการแข่งขัน และ (4) มาตรการที่คุมเข้มของภาครัฐ สำหรับผลกำไร สุทธิรวมใน 4Q23 ออกมาที่ 3.5 พันล้านบาท (+11.3% YoY, -4.4% QoQ) ด้านการลงทุน เราคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด”เลือก TIDLOR เป็นหุ้นเด่น

กำไรสุทธิรวมใน 4Q23 เติบโต 11.4% YoY แต่หดตัว 4.4% QoQ

  • กลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง (MTC, SAWAD, TIDLOR) มีกำไรสุทธิรวมตามคาดที่ 3.5 พันล้านบาท (+11.4% YoY, -4.4% QoQ) ใน 4Q23 โดยการเติบโต YoY หนุนจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ล้อกับการขยายสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมจากค่าคอมมิชชั่นการเป็นนายหน้าขายประกัน แต่กำไรสุทธิอ่อนตัวลง QoQ เป็นผลมาจาก (1) ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับลดลง (2) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้นจากการขยายสาขา และ (3) สำรองหนี้ฯ และการรับรู้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดสูงขึ้น โดย MTC มีกำไรสุทธิสูงสุดที่ 1.35 พันลบ. (+19.4% YoY, +5.1% QoQ) ส่วน SAWAD และ TIDLOR รายงานกำไรเพิ่มขึ้น YOY แต่ลดลง QoQ
  • ผลรวมของกำไรสุทธิปี 2023 เติบโต 3.7% YoY ที่ 13.7 พันลบ. (2022: +2.9%) โดย SAWAD มีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น 11.7% YoY ผลบวกจากธุรกิจปกติ และการรวมกิจการของบริษัทเงินสดทันใจ หรือ Fast Money (FM) เข้ามาใน 2Q23 ขณะที่ TIDLOR มีกำไรเติบโต 4.1% แต่ MTC กำไรปรับลดลง 3.7% กดดันหลักจากสำรองหนี้ฯ และขาดทุนรถยึดสูงขึ้น

สินเชื่อโตแกร่ง ท่ามกลางคุณภาพสินเชื่อที่ยังเปราะบาง

  • สินเชื่อรวมโต 4.4% QoQ ใน 4Q23 และสินเชื่อปี 2023 เติบโตแกร่ง 31% YoY โดย SAWAD โดดเด่นมีสินเชื่อขยายตัว 71.2% ในปี 2023 จากการขยายธุรกิจปกติ (สินเชื่อจำนำทะเบียนและจำนำที่ดิน และเช่าซื้อรถจักยานยนต์) และจากการรวมสินเชื่อของ FM
  • ด้านหนี้เสียรวมปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 6.5% QoQ ใน 4Q23 และเพิ่มขึ้น 43.6% YoY ในปี 2023 โดย TIDLOR มีคุณภาพสินเชื่อแข็งแกร่งที่มี NPL ratio ตำที่สุด 1.45% และมี Coverage ratio สูงที่สุด 282.1% หลังจากได้ตัดจำหน่ายหนีสูญล่วงหน้า และตั้งสำรองหนี้ฯ พิเศษเพิ่มใน 4Q23

เดินหน้าสู่การเติบโตที่สูงขึ้นในปี 2024

  • เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมปี 2024 จะขยายตัวสูงขึ้นที่ 18.3% YoY เทียบกับที่เติบโตเพียง 3.7% ในปี 2023 เพราะแม้ NIM ปรับลดลงแต่เพราะผลบวกจาก NII สูงขึ้นจากการขยายตัวแข็งแกร่งของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวจากธุรกิจนายหน้าประกันโดยทั้ง 3 บริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโต และคาด MTC กำไรสุทธิจะขยายตัวโดดเด่น 19.7% YoY เทียบกับ 19.1% ของ TIDLOR และ 16.4% ของ SAWAD
  • การฟื้นตัวของผลกำไรทำให้ ROE ของ MTC และ TIDLOR เพิ่มขึ้นในปี 2024 ส่วน ROE ของ SAWAD จะทรงตัว แต่ยังคงสูงกว่าคู่แข่งที่ 18.5%

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เลือก TIDLOR เป็นหุ้นเด่น

  • เราคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เพราะแม้ความสามารถการทำกำไรจะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังต้องเผชิญความท้าทายจาก คุณภาพสินเชื่อที่เปราะบาง NIM ปรับลดลง และความเข้มงวดของมาตรการภาครัฐกดดันการดำเนินธุรกิจ
  • เราชอบ TIDLOR (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 27.00 บาท) เพราะงบดุลแข็งแกร่ง, กำไรสุทธิปี 2024 ขยายตัวสูง และ Valuation น่าสนใจขณะที่ SAWAD (“ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 51.00 บาท) จากความโดดเด่นของ ROE สูง, Valuation ไม่แพง ส่วน MTC (“ถือ” มูลค่า พื้นฐาน 50.00 บาท) แม้คาดว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 2024 แต่ Valuation ค่อนข้างสูงเทียบกับคู่แข่ง

กำไรสุทธิรวมใน 4Q23 เติบโต 11.3% YoY แต่ลดลง 4.4% QoQ และกำไรสุทธิรวมปี 2023 เติบโต 3.7% YoY

  • บริษัทในกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ที่เราวิเคราะห์ (MTC, SAWAD, TIDLOR) รายงานกำไรก่อนสำรองหนี้ฯ และภาษีรวม (PPOP) ใน 4Q23 ที่ 6.9 พันล้านบาท (+30.4%, +7.5% QoQ) หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จากค่าคอมมิชชั่นการเป็นนายหน้าขายประกัน และมีกำไรสุทธิรวมที่ 3.5 พันลบ. (+11.3% YoY, 4.4% QoQ) โดยกำไรสุทธิที่ปรับลดลง QoQ เพราะ (1) ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น (2) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้นจากการขยายสาขา และ (3) ผลขาดทุนจากการขายรถยึด
  • PPOP ของทั้ง 3 บริษัทเติบโต YoY และ QoQ แต่เพราะ MTC มีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นน้อยกว่าจากการควบคุมคุณภาพ สินเชื่อที่ดีทำให้กำไรสุทธิสูงสุดใน 4Q23 ที่ 1.35 พันลบ. (+19.4% YoY, +5.1% QoQ) ขณะที่ SAWAD (+4.4% YoY, -8.7% QoQ)และ TIDLOR (+10.3% YoY, -4.4% QoQ) รายงานกำไรเติบโต YOY แต่ปรับลดลง QoQ
  • ในปี 2023 PPOP รวมในปี 2023 ขยายตัวแข็งแกร่ง 25.2% YoY ที่ 26.2 พันลบ. เพราะ NII สูงขึ้นเป็นหลัก แต่กำไรสุทธิรวมขยายตัวเพียง 3.7% ที่ 13.7 พันลบ. ถูกกดดันจากสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นกว่า 1.1 เท่าตัว ล้อกับหนี้เสียที่สูงขึ้น และขาดทุนจากการขายรถยึดสูงขึ้น โดยกำไรสุทธิของ SAWAD เติบโตเด่นสุด 11.7% YoY จากการขยายสินเชื่อ (ธุรกิจจำนำทะเบียน, จำนำที่ดินและเช่าซื้อรถจักรยานยนต์) และการซื้อกิจการ Fast Money จากธนาคารออมสินตั้งแต่ในเดือน มิ.ย. 2023
  • ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ลดลงจากต้นทุนการเงินที่เร่งตัวสูงขึ้น แม้ว่า loan yield จากค่อนข้างทรงตัว โดย TIDLOR มี NIM ลดลงเล็กน้อย และเป็นระดับสูงสุดที่ 15.6% ขณะที่ MTC และ SAWAD ปรับลดลงอยู่ที่ 15.2% ใกล้เคียงกัน

สินเชื่อขยายตัวแข็งแกร่ง แต่คุณภาพยังเปาะบาง

  • สินเชื่อของทั้ง 3 บริษัทขยายตัวใน 4Q23 ทำให้สินเชื่อรวมโต 4.4% QoQ และสินเชื่อรวมปี 2023 เติบโตแข็งแกร่ง 31% YoY โดย SAWAD สินเชื่อเพิ่มขึ้นสูง 71.2% YoY จากการเติบโตตามธุรกิจปกติ และผลบวกจากการซื้อกิจการของ Fast Money เข้ามาในตั้งแต่ใน 2Q23
  • อย่างไรก็ดี คุณภาพสินเชื่อยังเปาะบาง หนี้เสียรวมปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 6.5% QoQ (+43.6% YoY) ใน 4Q23 แต่เป็นการปรับขึ้นในระดับชะลอลงเทียบกับในช่วง 1H23 โดย NPL ratio ของ MTC ปรับลดที่ 3.1% (3Q23: 3.2%) และ TIDLOR ลดลงที่ 1.4% (3Q23; 1.5%) แต่มีเพียง SAWAD ที่ NPL ratio เพิ่มเป็น 3% (3Q23: 2.7%)
  • ด้วยการบริหาร NPL อย่างรัดกุมและการตั้งสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นทำให้ TIDLOR มีสำรองหนี้ฯ ต่อหนี้เสีย (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นสูงที่ 282.1% เทียบกับ MTC ที่ 115.9% และ SAWAD ที่ 61%
  • ทั้ง 3 บริษัทมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง โดย TIDLOR มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่อเงินทุน (D/E) ที่ 2.5 เท่า ต่ำกว่าของ SAWAD ที่ 2.6 เท่า และ MTC ที่ 3.7 เท่า
  • ในบรรดา 3 บริษัท TIDLOR มีงบดุลแข็งแกร่งมากที่สุด ด้วย NPL ratio ที่ต่ำกว่า และ Coverage ratio สูงกว่า ขณะที่ D/E ratio ต่ำกว่าเทียบกับ MTC และ SAWAD

ความสามารถทำกำไรปรับดีขึ้นในปี 2024

ปี 2024 เป็นปีของการฟื้นตัวของผลกำไร แต่คุณภาพสินเชื่อที่เปราะบางยังเป็นปัจจัยท้าทาย

  • กำไรสุทธิรวมเติบโตเพียง 2.9%/3.7% ในปี 2022-23 เทียบกับโต 24.2% CAGR (2017-2021) เนื่องจาก (1) คุณภาพสินเชื่อ อ่อนแอลงกดดันให้สำรองหนีฯ ของกลุ่มไมโครไฟแนนส์ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยถึง 479%/112% ในปี 2022-23 โดยค่าเฉลี่ยของ Credit cost ปรับขึ้นเป็น 182/289 bps ในปี 2022-23 เทียบกับเพียง 40 bps ในปี 22 และ (2) ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ปรับลดลง เพราะต้นทุนการเงินเร่งตัวขึ้นล้อกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และการควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของภาครัฐ
  • ในปี 2024 เราคาดว่าหนี้เสียจะยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง แต่เรคาดว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียจะชะลอลงที่ 17.5% ในปี 2024 เทียบกับ +89.7%/+43.6% ในปี 2022-23 เนื่องจาก (1) บริษัทเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อใหม่ตั้งแต่ปี 2023 และ (2) เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2024 ทำให้คาดว่าแรงกดดันต่อภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ จะคลี่คลายลงในปี 2024 สอดคล้องกับเป้าหมายการเงินของทั้ง MTC SAWAD TIDLOR ที่มองว่า Credit cost มีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2024
  • อย่างไรก็ดี แม้เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจบรอบขาขึ้นในปลายปี 2023 และแนวโน้มปรับลดลงได้ตั้งแต่กลางปี 2024 แต่บริษัทจะยังเผชิญกับต้นทุนการเงินสูงขึ้นผลจาก Lagging effect ของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นของสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเก่าที่ครบกำหนดอายุ ทำให้คาดว่า NIM ของ MTC และ SAWAD จะยังปรับลดลงในปี 2024 แต่จะทรงตัวได้ในปี 2025 ขณะที่ NIM ของ TIDLOR จะเริ่มปรับขึ้นตั้งแต่ในปี 2024 และสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 เนื่องจาก ต้นทุนการเงินที่ต่ำกว่าส่วนหนึ่งเพราะ TRIS Rating ให้เครดิตของ TIDLOR ระดับที่ A เทียบกับ BBB+ ของ MTC และ SAWAD
  • ในภาพรวม เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมปี 2024 จะเพิ่มขึ้น 18.3% YoY เป็น 16.2 พันลบ. หนุนจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้น ล้อกับการขยายสินเชื่อ (2) รายได้ค่าคอมมิชชั่นขยายตัวจากการเป็นนายหน้าธุรกิจประกัน และ (3) Credit cost ลดลงเฉลี่ยที่ 277bps (2023: 289 bps) อย่างไรก็ดี สำรองหนี้ฯ รวมจะเพิ่มขึ้นจากการสินเชื่อที่ขยายตัวเฉลี่ย 18% ในปี 2024
  • เราคาดว่ากำไรสุทธิของ MTC จะกลับมาเติบโตและขยายตัวเด่นที่สุด 19.7% ในปี 2024 เทียบกับ TIDLOR ที่คาดว่าจะขยายตัว ต่อเนื่อง 19.1% และ SAWAD ขยายตัวต่อเนื่อง 16.4%
- Advertisement -