XO ส่งสัญญาณ Q1/67 กำไร All Time High รับความนิยมซอสพริกฟีเวอร์ ทวีปยุโรปยอดขายอู้ฟู่ ไม่หวั่นตลาดอเมริกาแข่งขันราคา
XO เดินหน้าขยายตลาดซอสส่งออกปี 67 ชูภาพรวมตลาดซอสพริกความต้องการพุ่ง หนุนสินค้าขายดี โชว์ออเดอร์ในมือที่รอส่งออกใน Q1/67 อยู่ในระดับ 700 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากทวีปยุโรปและทวีปอื่นๆ ที่ยังคงความร้อนแรง แถมมีมาร์จิ้นสูง เมื่อเทียบกับตลาดอเมริกาที่ปัจจุบันมีการแข่งขันด้านราคา ทำให้บริษัทโฟกัสตลาดหลัก ดันกำไรโค้งแรกของปีทะยานทำ All Time High ด้วย Product Mix สินค้าในทวีปที่มีความสามารถในการทำกำไร โตได้ดีกว่าคาด ขณะที่ ต้นทุนน้ำตาลลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนเป้าหมายรายได้ทั้งปีวางไว้โต 20% จากปีก่อนมีรายได้ 2,521 ล้านบาท ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.53 บาท กำหนดจ่าย 15 พ.ค.นี้
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ส่งออกรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส และน้ำจิ้ม รวมทั้งเครื่องแกง เครื่องประกอบอาหารไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มภาพรวมไตรมาส 1/2567 สัญญาณดี กำไร All Time Highจากปัจจุบันมีออเดอร์ที่รอส่งออกในโค้งแรกของปีประมาณ 700 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566 ยอดขายอยู่ที่กว่า 800 ล้านบาท แต่ Product Mix บริษัทฯ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น เนื่องจากออเดอร์ส่วนใหญ่มาจากยอดขายในทวีปยุปโรปและทวีปอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรอยู่ในระดับสูง เฉลี่ยประมาณ 47% – 48% เมื่อเทียบกับทวีปอเมริกาในปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 42% – 43% และในปัจจุบันมีการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตซอสพริกศรีราชาเจ้าใหญ่อย่าง Huy Fong Foods กลับมาวางจำหน่ายสินค้าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และล่าสุดเมื่อต้นปี 2567 มีการปรับลดราคาขายอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ตลาดอเมริกามีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรงในด้านราคาขาย และกำไรขั้นต้น (GP) จะเหลือน้อยลง
ทั้งนี้ XO ไม่กังวลจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากออเดอร์ในมือที่รอส่งมอบ ในไตรมาส 1/2567 มียอดขายที่ประมาณ 700 ล้านบาทแล้ว และเป็นยอดขายที่มาจากทวีปอเมริกาน้อยมาก หรือยอดขายไม่ถึง 50 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน XO มียอดขาย 699 ล้านบาท กำไรสุทธิ 248 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 48.17% และอัตรากำไรสุทธิ 35.19% เป็นไตรมาสที่มีกำไรดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ด้วยยอดขายที่มาจากทวีปอเมริกาประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นของอเมริกาต่ำสุด เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ สะท้อนว่า XO กำลังเดินหน้าเติบโตใน Product Mix สินค้าที่มีกำไรดีขึ้น เป็นเหตุผลที่คาดว่า XO มีโอกาสทำกำไร All Time High ต่อเนื่องในปีนี้ได้
นอกจากนี้ ได้อานิสงส์ในด้านต้นทุนในการผลิต ราคาวัตถุดิบน้ำตาลในไตรมาสแรกของปีนี้เริ่มใช้ต้นทุนใหม่ ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่าปีที่แล้ว ทำให้ XO ได้รับปัจจัยสนับสนุนผลงานลุ้นกำไรไต่ระดับขึ้นได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี แนวโน้มปี 2567 XO คาดรายได้เติบโต 20% จากปีก่อน โดยตลาดหลักในยุโรปยังคงเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และการขยายไปยังทวีปอื่นๆ ต่อเนื่อง ขณะที่ทวีปอเมริการแม้ได้รับผลกระทบตลาด
ซอสมีปัญหาจากการแข่งขันทางด้านราคา แต่ปัจจุบัน บริษัทฯ สามารถขยายเข้าไปจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีการแข่งขันด้านราคาน้อยกว่า และเป็นช่องทางในการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ต่อเนื่อง และคาดว่าในปีนี้จะขยายช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มเติมจาก 1,500 สาขา เป็น 3,000 สาขา
สำหรับภาพรวมอาหารไทยยังคงเป็นที่นิยมในตลาดโลก รับภาพรวมตลาดซอสไทยส่งออกยังเติบโตดีต่อเนื่อง หรือในปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่ง XO มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 10% อย่างไรก็ดี เทรนด์ตลาดโลก Global Spice Trend และEuropean Spice Trend พบกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบทาน Hot & Spicy Sauce มากขึ้น และชอบรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดมากขึ้น ประกอบกับ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อีกทั้ง กลยุทธ์การตลาด บุกช่องทางออนไลน์ และปีนี้คาดออกงานแสดงสินค้าราว 24 งาน สนับสนุนสินค้าของ XO ได้รับการตอบรับมากขึ้น โดยปัจจุบัน XO มีสินค้ามากกว่า 700SKU ภายใต้มาตรฐานสากลรองรับ ทำให้สามารถบุกขยายตลาดในทวีปยุโรปและทวีปอื่นๆ เพิ่มเติมได้
สำหรับผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 785.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.79% จากปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 340.16 ล้านบาท มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,521.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,066.43 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.31% ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากลุ่มทวีปยุโรป ประมาณ 63.8% ทวีปอเมริกา 22.9% ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย 6.7% ทวีปเอเชีย 5.7% และทวีปแอฟริกา 0.9% ในด้านการใช้อัตรากำลังการผลิต (Utilization Rate) ทะลุ 135% ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง
ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.53 บาท เป็นการจ่ายจากผลกำไรจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้รับเครดิตภาษีในการคำนวณภาษีเงินได้ กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.358 บาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ดังนั้นเงินปันผลรวมประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จะเป็น 0.888 บาทต่อหุ้น