นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน (CFO) บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW

CHOW มั่นใจปี 67 ธุรกิจโตก้าวกระโดดต่อเนื่องทั้งธุรกิจเหล็ก และ Solar หลังปีก่อนหน้าวางฐานไว้แน่นทั้งปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในธุรกิจเหล็ก และผนึกพันธมิตรระดับแนวหน้าของโลกลุย Solar ในประเทศ เชื่อเป็นแรงส่งต่อให้ปี 67 เติบโตอย่างโดดเด่น หนุนผลประกอบการเป็นกำไรต่อเนื่อง

นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน (CFO) บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW
ผู้ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจของ CHOW

ในปี 2567 ว่ามีทิศทางเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปี 2566 ได้ทั้งธุรกิจผลิตเหล็ก และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) หลังจากที่ปีก่อนหน้าทางฝ่ายบริหารได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ จนสามารถสร้างผลประกอบการให้เติบโตมาเป็นลำดับ โดยในธุรกิจเหล็กได้ปรับมาเป็นผู้รับจ้างผลิตเหล็กแท่งบิลเลตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (OEM) ทั้งยังขยายผลิตภัณฑ์ไปยังเหล็กแปรรูปอีกหลายประเภทภายใต้มาตรฐานอุตสาหกรรม จนสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างโดดเด่นในปี 2566

ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนในปี 2566 ได้ร่วมลงทุนกับกับกองทุน BlackRock กองทุนอันดับหนึ่งของโลก เพื่อลงทุนในการประกอบธุรกิจให้บริการให้คำปรึกษาและติดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย โดยได้เข้าถือหุ้นในกลุ่มการดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศไทยจำนวนร้อยละ 49 ของทุนจดทะเบียน ซึ่งการเข้าร่วมลงทุนกับกองทุน BlackRock นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจทางด้าน Solar Rooftop ของกลุ่ม CHOW ในประเทศไทยและเวทีสากลแล้ว ยังมีผลบวกในด้านความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้นทั้งในด้านเงินทุน ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อใหม่ๆ ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ และส่งเสริมในด้านของภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรและเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับธุรกิจพลังงานทดแทนไว้เป็นอย่างดี

“มั่นใจว่าในปี 2567 CHOW มีทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากปี 2566 หลังจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการทั้งในธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงาน โดยในธุรกิจเหล็กปัจจัยหนุนจะมาจากการเริ่มฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างในโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ใช้ในธุรกิจก่อสร้างฟื้นตัวในทิศทางเดียวกัน ส่วนธุรกิจพลังงานมีทิศทางเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ต่อเนื่องจากปี 2566 โดยปัจจัยหลักมาจากภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และให้ความร่วมมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ โดยตั้งเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ net zero โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการส่งออก โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายจะมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเพิ่มเป็น 250 เมกะวัตต์ในปีนี้ ในขณะที่ธุรกิจพลังงานในต่างประเทศยังเดินหน้าต่อไปทั้งในญี่ปุ่น และออสเตรเลีย”

นายปรมัตถ์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่า ปี 2567 จะเป็นปีที่ธุรกิจของ CHOW เติบโตได้อย่างโดดเด่น จากที่มีฐานทุนแข็งแกร่ง สามารถขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ เอง และการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารชั้นนำ นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรที่มีความสามารถ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและ supply chain ที่แข็งแกร่งทำให้เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบและอุปกรณ์ ในราคาที่แข่งขันในตลาดได้อย่างคล่องตัว ซึ่งความพร้อมเหล่านี้จะทำให้ CHOW สามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ CHOW นำเสนอผลประกอบการประจำงวดปี 2566 ว่า มีผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจในทุกๆ Business Unit ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหาร นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างพื้นฐานการเจริญเติบโตของธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งธุรกิจเหล็กและธุรกิจพลังงานทางเลือก โดยในปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวม 3,795.81 ลบ. ซึ่งเติบโตจากปีที่ผ่านมา 1,086.54 ลบ หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 40.1 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้ ส่วนใหญ่เกิดจากการการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเหล็กแท่ง และเหล็กเส้น โดยมีรายได้จากธุรกิจเหล็ก 2778.57 ล้านบาท รายได้ธุรกิจพลังงานจากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า Solar Rooftop ที่ทยอยขายไฟในระหว่างปีและธุรกิจ EPC Turnkey รวม 590.73 ล้านบาท

โดยในธุรกิจเหล็กเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2565 ร้อยละ 147.1 ซึ่งเกิดจากการขยายฐานลูกค้า Trading ไปยังกลุ่มลูกค้าเหล็กเส้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งเกิดจากความต้องการเหล็กในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น และบริษัทฯ มีความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย สามารถรองรับคำสั่งซื้อได้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ธุรกิจผู้รับจ้างผลิตเหล็กแท่งบิลเลตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (OEM) บริษัทฯ ได้รับคำสั่งผลิตในปี 2566 สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งคาดว่าในปี 2567 หากความต้องการเหล็กในตลาดยังขยายตัวต่อเนื่อง บริษัทฯ ก็จะสามารถสร้างรายได้จากการให้บริการ OEM เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

ส่วนธุรกิจพลังงานในปี 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการผลิตไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว รวมจำนวน 35.8 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วและพร้อมที่จะ COD ทันทีที่ได้รับใบอนุญาตขนานไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ อีกจำนวน 4.22 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 73 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD เพิ่มเติมในปี 2567 และเมื่อรวมโครงการใน Pipeline จะทำให้บริษัทฯ มีโครงการที่จะจำหน่ายไฟและกำลังพัฒนาประมาณ 240-250 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2567

- Advertisement -