Daily Focus: Selective Play // Hold after Accumulated

2024 SET Target : 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ฟื้นตัวได้ตามคาดหลังจากปรับลงแรงในวันก่อนหน้า ดัชนีปิดบวก 7.60 จุด ที่ระดับ 1,377.94 จุด หนุนโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน การแพทย์ เป็นต้นอย่างไรก็ตามมูลค่าการซื้อขายเบาบางเพี่ยง 2.6 หมื่นลบ. เนื่องจากต่างประเทศหลายตลาดปิดทำการเนื่องในวัน Good Friday สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 288 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 645 ลบ. (และ Long Index Futures 1.77 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในกรอบ 1,375-1,385 จุด จากภาพรวมบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นบวก หลังตัวเลขเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯและจีนออกมาในเชิงบวก โดยตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือน ก.พ. ของสหรัฐฯออกมาชะลอตัวลงตามคาดโดย Core +0.3% m-m, +2.8% y-y ส่วนการใช้จ่ายส่วนบุคคลดีกว่าคาด +0.8% m-m (ตลาดคาด +0.5% m-m) ส่วนฝั่งจีนมีการรายงานตัวเลข PMI ซึ่งออกมาดีกว่าคาดทั้งภาคการผลิตที่ 50.8 (ตลาดคาด 49.9) กลับมาเหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นสัญญาณเศรษฐกิจขยายได้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ส่วนภาคบริการอยู่ที่ 53 เพิ่มจากเดือนก่อนที่ 51.4 หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงทองคำที่พุ่งขึ้น ส่วนสัปดาห์นี้จะมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเดือน ก.พ.จากฝั่งสหรัฐฯทั้ง ISM ภาคการผลิตและบริการ ตัวเลขตำแหน่งงานที่เปิดรับและการจ้างงานนอกภาคเกษตรฯ ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามตัวเลขเงินเฟ้อวันศุกร์ เรายังคงมุมมองเชิงบวกระยะกลาง-ยาวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567 ที่เตรี่ยมนำขึ้นทูลเกล้าฯสัปดาห์นี้รวมถึงนโยบายเงินดิจิทัลที่คาดว่าจะมีความชัดเจนวันที่ 10 เม.ย. ขณะที่การประชุมกนง.หากลดดอกเบี้ยในรอบนี้จะ Surprise ตลาดและเป็นอีกแรงหนุน ภาพรวมเรายังให้น้ำหนักว่าดัชนีมีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตามเศรษฐกิจและกำไรบจ. ขณะที่การฟื้นตัวจะทยอยเกิดขึ้นใน 2Q24 โดยเฉพาะ 2H24

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำ เทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350+- จุด

หุ้นเด่นเดือน เม.ย.: BA, CPALL, CPN, ITC, TIDLOR

FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, NSL, SHR, SJWD, and TIDLOR

หุ้นเด่นวันนี้ : SJWD

  • แนะนำ “‘ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
  • คาดกำไร 1Q24 จะมีแรงหนุนจากการซื้อหุ้นบริษัท ANI (20.12%) ทำธุรกิจ Cargo General Service Agent, SWIFT (20.44%) ทำธุรกิจ logistic solution มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.5 พันลบ. เมื่อเดือน ก.พ. นอกจากนี้ภายใน 2024 น่าจะมีการตั้งกองรีทโดยขายพื้นที่บางส่วนใน Alpha เข้ากองและจะมีการบันทึกกำไร
  • เราคาดกำไรปกติปี 2024 ที่ 1.2 พันลบ. +29% y-y หนุนจากค่าใช้จ่ายควบรวมกิจการที่หายไป รวมถึงทยอยเห็นผลบวกจาก Synergy โดยมอง 3 ปีข้างหน้ากำไรเติบโตเฉลี่ย 14% CAGR ในช่วงปี 2024-26
  • แนวรับ 15-14.80 บาท แนวต้าน 16//16.50-16.60 บาท

Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนโดยรวมไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$419 ล้าน โดยกระจุกตัวที่เกาหลีใต้ US$603 ล้าน แต่ยังไหลออกจากไต้หวัน US$169 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินผสมผสาน ไหลเข้าไทยแต่ไหลออกจากเวียดนาม US$18 ล้านและ US$32 ล้าน ตามลำดับแนวโน้มกระแสเงินทุนวันนี้คาดว่าจะอยู่ในทิศทางไหลเข้าหลังตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯเดือนก.พ. ออกมาตามคาดซึ่งชะลอตัวจากเดือนก่อน ขณะที่ PMI เดือน ก.พ. จีนออกมาดีกว่าคาด

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) กลุ่ม Bank และ (-/+) กลุ่ม Finance ธปท. ประกาศดัชนีราคารถยนต์มือสอง เดือนก.พ.24 พลิกกลับมาลดลง 2% m-m และ 15% y-y ประกอบด้วยดัชนีราคารถยนต์นั่งมือสองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เท่ากับ +5.6% m-m แต่ยัง -22% y-y และราคารถยนต์บรรทุก มือสอง -9.8% m-m และ -6.8% y-y เรามองการฟื้นตัวของดัชนีราคารถยนต์นั่งมือสองเดือนก.พ.24 ยังเป็นผลบวกช่วงสั้นๆจากปัจจัยด้านฤดูกาลที่จะมีการเร่งระบายสต็อครถยึดออกมาในช่วงเดือน ธ.ค. ทุกปี และ ราคารถยนต์นั่งมือสองที่ลดลงไปต่ำมากในช่วงปลายปี 2023 ทั้งนี้เรายังให้น้ำหนักลงทุนกลุ่ม Bank น้อยกว่าตลาด จากคาดการเติบโตของกำไรปี 2024 ทรงตัว y-y และเริ่มเห็น downside ต่อประมาณการกำไรปี 2024-26 จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ขาลง Top Pick ยังเป็น TTB (ราคาเป้าหมาย 2.19 บาท) ส่วนกลุ่ม Finance เน้น selective buy ในกลุ่มจำนำทะเบียนที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี เลือก TIDLOR (ราคาเป้าหมาย 27 บาท)

(+) AEONTS คาดกำไร 4Q23FY ที่ 862 ลบ. +7.9% q-q, +9.9% y-y ฟื้นตัวจากการตั้งสำรอง ECL และ credit cost ที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจหลักยังไม่สดใส การเติบโตของสินเชื่อปรับลง -3.5% q-q, -3.6% y-y หลักๆ มาจากการ write-off หนี้เสียอย่างมีนัยสำคัญทั้งสินเชื่อส่วน บุคคลและบัตรเครดิต และคาด NPL จะลดลงเหลือ 5.2% จาก 6.2% ใน 3Q23FY จากการปรับเกณฑ์ให้ผ่อนคลายมากขึ้น เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิ FY2023 ลงเป็น -23% y-y สะท้อน NII และ Non-NII ที่อ่อนแอ และ cost to income ที่สูงกว่าคาดก่อนหน้านี้ และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 164 บาท ยังแนะนำเพียง “ถือ” (ประธานกรรมการของ FINANSIA SYRUS ดำรงตำแหน่งกรรมการของ AEONTS)

(+) GFC คาดคาดกำไรสุทธิ 1Q24 เพิ่มขึ้น 9% q-q และ 29% y-y รับปีมังกร หนุนรายได้โตแกร่งทั้งทั้งจากจำนวนลูกค้าที่เข้ามารับบริการและรายได้การให้บริการตรวจโครโมโซมที่เพิ่มขึ้น เรายังคงคาดกำไรสุทธิปี 2024 อยู่ที่ 105 ล้านบาท +36% y-y และปี 2025 อยู่ที่ 130 ล้านบาท +24% y-y จากผลการเปิดสาขาใหม่ สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และอุบลราชธานี ปลาย 2024 อีกทั้งบริษัทได้การนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ ขยายห้อง LAB ที่เป็นมาตรฐานสากลเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติที่จะเข้ารับบริการเป็นปีแรก คงราคาเป้าหมาย 12 บาทปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก Upside กว้างขึ้น

(0) TU คาดกำไร 1Q24 จะอ่อนลง q-q แต่มองเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยคาดกำไรปกติที่ 882ลบ. -25% q-q, +9% y-y จากคาดรายได้ที่คาด -6% q-q จากธุรกิจ frozen และ pet food เพราะฐานสูงไตรมาสก่อน กอปรกับคาดกลับมามีค่าใช้จ่ายทางภาษี จากก่อนหน้าที่ได้ประโยชน์ Tax Credit จาก Red Lobster บริษัทมองแนวโน้มรายได้จะกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q24 โดยมองราคาปลาทูน่าจะปรับขึ้นใน 2Q-3Q24 เรายังคาดกำไรปกติปี 2024 โต 6.5% คงราคาเป้าหมาย 17.30 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 47.29 จุด หรือ +0.12% ปิดที่ 39,807.37 จุด โดย ทั้งดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ต่างก็ทำสถิติในไตรมาส 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ปี ขณะที่นักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการรายงานเมื่อคืน นี้ซึ่งรวมถึง GDP พร้อมกับจับตาการเปิดเผยดัชนี PCE ในวันนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปิดบวกเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากปรับตัวในช่วงแคบ ๆ ในสัปดาห์นี้ก่อนวันหยุดยาวสุดสัปดาห์ โดยตลาดจะปิดทำการในวันศุกร์นี้เนื่องในวัน Good Friday และจะปิดทำการในวันจันทร์หน้า (1 เม.ย.) เนื่องในเทศกาลอีสเตอร์

(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก หลังนักลงทุนประเมินรายงานดัชนี PMI จีนที่ปรับตัว ขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาด ในเดือน ก.พ. ขณะที่จับตามองรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 36.35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.35%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.82 ดอลลาร์ หรือ 2.24% ปิดที่ 83.17ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะอยู่ในภาวะตึงตัว เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส มีแนวโน้มที่จะยังคงดำเนินนโยบายลดกำลังการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในรัสเซีย ยังคงถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 83.22 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.06%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 25.70 ดอลลาร์ หรือ 1.16% ปิดที่ 2238.40ดอลลาร์/ออนซ์ โดยสัญญาทองคำปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นที่ 4 เนื่องจากตลาดยังคงได้ปัจจัยหนุนจากการที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี PCE ในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยเฟด ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,277.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +1.76%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 830.15/ –

- Advertisement -