Daily Focus: Earnings and Selective Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตามคาด ปิดบวกอีก 7.94 จุด ที่ระดับ 1,357.46 จุดกลับมายืนเหนือแนวรับหลัก 1,350 จุดได้อีกครั้ง ซึ่งลบภาพเชิงลบในช่วงก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขายยังค่อนข้างหนาแน่น 4.7 หมื่นลบ. มีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างกระจายตัว สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นหนาแน่น 1.5 พันลบ.และ 2.2 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Long Index Futures 3.8 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังแกว่ง Sideways Up ได้ต่อเนื่องในกรอบ 1,350-1,365 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังคงเป็นบวก เม็ดเงินยังทยอยไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ตลาดยังคงคาดหวังจะเห็นการลดดอกเบี้ยของ FED 1-2 ครั้งในปีนี้ หลังตัวเลข PMI ทั้งภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯเดือน เม.ย. ที่ออกมาชะลอตัวลงจากเดือนก่อนและต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ Bond Yield และ Dollar Index ย่อตัวลงและเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามยังต้องติดตาม ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน GDP 1Q24 และเงินเฟ้อ PCE เดือน มี.ค. ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ขณะที่สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางแม้จะยังไม่มีข่าวใหม่มากดดัน แต่ยังต้องคอยจับตาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยในประเทศโฟกัสอยู่ที่การประกาศผลประกอบการ 1Q24 ของฝั่ง Real Sector ที่จะเริ่มทยอยออกมาในสัปดาห์นี้และหนาแน่นขึ้นใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า กลยุทธ์เราจึงเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นกว่าตลาดและกระทบจากความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกจำกัด เรายังมองกลุ่ม Domestic Play ยังน่าสนใจ โดยคาดได้อานิสงส์เชิงบวกจากทิศทางเศรษฐกิจที่จะทยอยเร่งตัวใน 2024-2H24 ตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 นโยบายดิจิทัลวอลเลตที่จะเริ่มใช้จ่ายใน 4Q24
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไร 1Q24 โดดเด่น // ส่วนที่สะสมไปแล้วบริเวณ 1,350+- ยังถือลงทุน
หุ้นเด่นเดือน เม.ย.: BA, CPALL, CPN, ITC, TIDLOR
FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, NSL, SHR, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : TACC
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท
- ระยะสั้นคาดกำไร 1Q24 จะโตทั้ง q-q, y-y จากรายได้ที่ขายไป 7-Eleven ยังโตสดใสต่อเนื่อง เรายังคาดกำไรปี 2024 กลับมาโต +16% นอกจากนี้ยังได้ Sentiment บวกหลัง Digital Wallet สามารถใช้กับ 7-Eleven ได้
- โมเมนตัม 2Q24 คาดดีต่อเนื่องและได้อานิสงส์จากอากาศที่ร้อนหนุนเครื่องดื่มขายดี
- ภาพรวมกำไรจะเร่งตัวในปี 2Q24 ตามเป้ารายได้ผู้บริหารที่คาด โต 10% y-y และแนวโน้ม ต้นทุนรวมค่อนข้างทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน และที่ไม่ต้องรับรู้ขาดทุนบริษัทร่วม TCI ตั้งแต่ 1Q24 เป็นต้นไป และคาดจะมีการกลับรายการด้อยค่าในระยะถัดไป Valuation ยังถูก เทรดเพียง 13 เท่า และคาด dividend yield 7-8% ต่อปี
- แนวรับ 4.80//4.74 บาท แนวต้าน 5//5.15-5.20 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนในภูมิภาคผสมผสาน สุทธิแล้วไหลเข้าบางๆ US$123 ล้าน เม็ดเงินไหลเข้าไต้หวัน US$144 ล้าน แต่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$53 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินยังไหลออกเกือบทุกประเทศยกเว้นไทยที่ไหลหนาแน่นขึ้นเป็น US$60 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าหลัง PMI สหรัฐฯออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดยังคาดหวังจะเห็นการลดดอกเบี้ยของ FED ปีนี้ 1-2 ครั้ง อย่างไรก็ตามยังต้อง ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯปลายสัปดาห์คือ GDP และเงินเฟ้อ PCE
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SCGP กำไรปกติ 1Q24 ที่ 1.7 พันลบ. +27% q-q, +57% y-y ดีกว่าเราคาด 15% จาก Utilization rate ที่สูงขึ้นตาม demand ที่ดีขึ้น การควบคุมตันทุนทำได้ดีทั้งที่ตันทุนวัตถุดิบสูงขึ้น และการปรับราคาขายขึ้นได้ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาด รายได้เติบโตในทุกผลิตภัณฑ์สะท้อน Domestic consumption ที่แข็งแกร่งในอาเซียน โดยเฉพาะ Packaging paper ในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และการฟื้นตัวที่ดีของภาคท่องเที่ยว แนวโน้ม 2Q24 อาจชะลอ q-q จากวันหยุดเยอะ แต่ภาพรวมยังเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง กำไรปกติ 1Q24 คิดเป็น 28% ของประมาณการทั้งปี 2024 ที่ 6 พันลบ. +17% y-y อาจมี upside เล็กน้อย ราคาเป้าหมาย 43 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) SCGD กำไรสุทธิ 1Q24 ที่ 257 ลบ. +76% q-q และพลิกจากขาดทุน -182 ลบ.ใน 1Q23 หากหักรายการพิเศษ กำไรปกติ +44% q-q, +28% y-y ดีกว่าเราและตลาดคาดที่ 210-220 ลบ. จาก SG&A ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดี แม้เป็น High Season แต่ยอดขาย flat q-q และหดตัว 7% y-y โดยยอดขายในประเทศถูกหนุนด้วยธุรกิจสุขภัณฑ์ที่เติบโต แต่กดดันจากยอดขายกระเบื้องในต่างประเทศที่ลดลง กำไร 1Q24 คิดเป็น 19% ประมาณการทั้งปี ขณะที่คาดหวังการเร่งขึ้นใน 2H24 จากยอดขายในประเทศที่ได้อานิสงส์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ การท่องเที่ยว รวมถึงเวียดนามที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำ คงคาดกำไรปกติปี 2024 +71% y-y และราคาเป้าหมาย 12 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) CENTEL คาดกำไรปกติ 1Q24 ที่ 660 ลบ. +123% q-q ตามฤดูกาล และฟื้นตัว +5% y-y จาก RePAR ของไทยที่ +20% y-y และดูไบ +24% y-y รวมถึง Maldives ฟื้นตัวคาดอยู่ราว +7% y-y เรายังคงคาดกำไรปกติปี 2024 ที่ 1.5 พันลบ. เติบโต 37% หนุนจากรายได้ของธุรกิจโรงแรม นำโดยโรงแรม Osaka จะพลิกกับมาเป็นกำไร และ RevPAR ของโรงแรมในไทยเติบโต 8-10% รวมถึงโรงแรมใน Maldives ฟื้นตัว ขณะที่ธุรกิจอาหารคาดมี EBITDA margin ที่เพิ่มขึ้น เรายังคงคาดกำไรปี 2024 และราคาเป้าหมาย 50 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) HMPRO คาดกำไรสุทธิ 1Q24 ที่ 1.64 พันลบ. -2% q-q จากปัจจัยด้านฤดูกาล แต่ +2% y-y จากยอดขายสาขาใหม่ที่เปิดกว่า 11 สาขาในปี 2023 โดยคาดยอดขายรวม +0.5% y-y แม้ยังคาด SSSG ของทั้ง HomePro และ MegaHome จะยังติดลบ 2% และ 5% ตามลำดับ โดยเป็นผลจากกำลัง ซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่แม้จะมีนโยบาย E-receipt และไม่มีการจัด HomePro Expo ในช่วงเดือนมี.ค.2024 แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24 คาดโตเล็กน้อย y-y จากการขายสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับการ Trade-in ที่ทำได้หลากหลายสินค้ามากขึ้น และคาดจะเห็นฟื้นตัวชัดขึ้นใน 2H24 จากฐานที่ต่ำและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ คงประมาณการกำไรปี 2024 และราคาเป้าหมาย 13.60 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 263.71 จุด หรือ +0.69% ปิดที่ 38,503.69 จุดขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดสหรัฐฯ
(-) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 36.94 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.34%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.46 ดอลลาร์ หรือ 1.78% ปิดที่ 83.36 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนหันมาจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และภาพรวมของอุปสงค์และอุปทาน น้ำมันในตลาด ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 83.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.05%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 4.30 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 2,342.10ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ดึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่นักลงทุน จับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,332.00 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.43%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 833.63/ +0.21%